รุ่น Hybrid
ริ่มกันที่รุ่นธรรมดาก่อน ซึ่งการปรับโฉมครั้งนี้ Honda Jazz (Fit) มาพร้อมกับรูปลักษณ์ที่สดใหม่ขึ้นในระดับหนึ่ง เช่น กันชนหน้าใหม่ที่ดูสปอร์ตขึ้น สีตัวถังใหม่ในรุ่นสปอร์ต RS พร้อมกับล้อแม็กลายใหม่ กระจังหน้าใหม่เปลี่ยนเป็นแถบใหญ่ขึ้น ส่วนด้านท้ายเปลี่ยนไฟท้ายใหม่มาใช้หลอดแบบ LED เช่นเดียวกับกันชนที่ดูสปอร์ตขึ้น
สำหรับในห้องโดยสารออาจจะขัดใจสักหน่อย เพราะดูจากภาพโดยรวมแล้วแทบไม่มีการเปลี่ยนแปลงในจุดหลักๆ เลยจะต่างออกไปก็ตรงที่วัสดุที่ใช้ในการตกแต่ง 2 ทางเลือกในการทำตลาดสำหรับเวอร์ชันธรรมดาบนพื้นฐานของเครื่องยนต์ 4 สูบเรียง SOHC i-VTEC 16 วาล์ว เริ่มกับรุ่น 1,300 ซีซี ถ้าขับหน้าและขับเคลื่อน 4 ล้อเมื่อจับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ 5 จังหวะมีกำลังสูงสุด 100 แรงม้า ที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 13.0 กก.-ม. ที่ 4,800 รอบ/นาที แต่ถ้าเป็นรุ่นขับเคลื่อนล้อหน้าจับคู่กับเกียร์อัตโนมัติอัตราทดแปรผันต่อ เนื่อง หรือ CVT จะลดลงมาอยู่ที่ 99 แรงม้า และ 12.8 กก.-ม. ที่รอบเครื่องยนต์เท่าเดิม
อีกรุ่นเป็น 1,500 ซีซี มีกำลังสูงสุด 120 แรงม้า ที่ 6,600 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 14.8 กก.-ม. ที่ 4,800 รอบ/นาที ถ้าเป็นรุ่นขับเคลื่อนล้อหน้าจะจับคู่กับเกียร์อัตโนมัติอัตราทดแปรผันต่อ เนื่อง แต่ถ้าเป็นรุ่นขับเคลื่อน 4 ล้อจะใช้เกียร์อัตโนมัติ 4 จังหวะ และมีรุ่นพิเศษตกแต่งแบบสปอร์ตในรหัส RS ใช้เกียร์ธรรมดา 6 จังหวะขับเคลื่อนล้อหน้า หรือถ้าไม่อยากเหยีบบคลัตช์เมื่อยขาก็มีรุ่น CVT เป็นอีกทางเลือก
ต้องบอกว่าในรุ่นปรับโฉมนี้มีการแบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ การปรับโฉมให้กับรุ่นธรรมดา และการเพิ่มทางเลือกใหม่ที่ไม่เคยมีมาก่อน นั่นคือ เวอร์ชันไฮบริด
สำหรับของใหม่ที่น่าสนใจ คือ รุ่นไฮบริด ซึ่งแชร์พื้นฐานเดียวกับรุ่นอินไซท์ ขณะที่รหัสตัวถังจะถูกเปลี่ยนจาก GE ในรุ่นปกติมาเป็น GP โดยตัวเครื่องยนต์เป็นเทคโนโลยี IMA หรือ Integrated Motor Assist ในรหัส LDA-MF6 ใช้เครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ SOHC i-VTEC แบบ 16 วาล์ว 1,300 ซีซีเป็นตัวขับเคลื่อนหลัก มีกำลังสูงสุด 88 แรงม้า ที่ 5,800 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 12.3 กก.-ม. ที่ 4,500 รอบ/นาที พร้อมมอเตอร์ไฟฟ้าช่วยในการขับเคลื่อนขนาด 14 แรงม้า ที่ 1,500 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 8.0 กก.-ม. ที่ 1,000 รอบ/นาที ส่งกำลังด้วยเกียร์ CVT ซึ่งมีการปรับอัตราทดแตกต่างจากรุ่นธรรมดา
หน้าที่ของมอเตอร์ไฟฟ้าไม่แตกต่างจากระบบ IMA ทั่วไป คือ เน้นช่วยขับเคลื่อนในจังหวะที่ต้องการพลังหรือกำลังเป็นพิเศษ เช่น การเร่งแซง และเปลี่ยนหน้าที่ชาร์จกระแสไฟฟ้าเข้าสู่ระบบเมื่อมีการถอนคันเร่ง หรือเบรก รวมถึงมีระบบ Auto Start/Stop ดับเครื่องยนต์อัตโนมัติเมื่อจอดติดอยู่กับที่
สำหรับความประหยัดน้ำมันถ้าเป็นรุ่นธรรมดาจะอยู่ที่ 16.4-24 กิโลเมตรต่อลิตรสำหรับการทดสอบตามโหมด 10-15 แต่ถ้าเป็นโหมดใหม่ JC-08 ตัวเลขจะอยู่ที่ 15.2-20.6 กิโลเมตร/ลิตร ส่วนรุ่นำไฮบริดอยู่ที่ 30.0 และ 26.0 กิโลเมตร/ลิตรตามลำดับ
ในรุ่นปรับโฉมของฟิต ที่ขายในญี่ปุ่นจะมีราคาสำหรับรุ่นธรรมดาอยู่ที่ 1.23-1.68 ล้านเยน หรือ 440,000-604,000 บาท ส่วนรุ่นไฮบริดอยู่ที่ 1.59-2.1 ล้านเยน หรือ 570,000-756,000 บาท ส่วนบ้านเราต้องรอดูต่อไปว่าจะมีเฉพาะการปรับโฉมเท่านั้น หรือว่าจะใจถึงเอารุ่นไฮบริดมาสร้างสีสันในตลาด
รุ่น ธรรมดา
ที่มา – manager
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น